ไขข้อสงสัยเรื่องภูมิคุ้มกันกับวัคซีน

Atapol • 18 สิงหาคม 2565

ไขข้อสงสัยเรื่องภูมิคุ้มกันกับวัคซีน

ในช่วงที่ โควิด กำลัง สร้างความประหวั่นพรั่นพรึง ให้กับคนทั่วโลก รวมทั้งคนไทย เราส่วนใหญ่ล้วนเชื่อว่า “วัคซีน” คือ ทางรอดเพียงทางเดียว

วัคซีน คือ อะไร?

กลไกการทำงานของวัคซีนเป็นอย่างไร ?

อะไรคือ ภูมิคุ้มกันที่ วัคซีนไปกระตุ้น ?

ภูมิคุ้มกันมนุษย์มีกี่ประเภท? มีวิธีกระตุ้นภูมิคุ้มกันมนุษย์อย่างไรบ้างนอกจากการใช้วัคซีน?

คำถามเหล่านี้ เป็นคำถามที่พวกเราทุกคนควรจะเข้าใจ เพื่อช่วยให้เราสามารถปฏิบัติตน เอาชีวิตพ้นผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้

วัคซีน คือ?

วัคซีน คือ กระบวนการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยใช้ “เชื้อโรค” (หรือชิ้นส่วนของมัน) ในปริมาณที่น้อยมากๆ มาฉีด/พ่น/กิน เข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ “เชื้อโรค” (หรือชิ้นส่วนของมัน) นั้นเข้าไป กระตุ้น “ภูมิคุ้มกัน” ของร่างกาย ภูมิคุ้มกันที่เรียกกันว่า “แอนตี้บอดี้” (antibody) คำถาม คือ แล้วก่อนที่เราจะได้วัคซีน เราไม่มี “ภูมิคุ้มกัน” หรือ? คำตอบคือ ไม่ใช่ เรามีภูมิคุ้มกันแม้ก่อนได้รับวัคซีน ระบบภูมิคุ้มกันของเราซับซ้อนกว่าที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ

ภูมิคุ้มกัน คือ ?

ภูมิคุ้มกัน คือ กลไกของร่างกายที่ทำหน้าที่ กำจัด สิ่งแปลกปลอม รวมทั้งเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้ภูมิคุ้มกันยังทำหน้าที่ ปัดกวาด ของเสีย เศษซากเซลล์ที่ตาย เซลล์ที่ผิดปกติออกจากร่างกายด้วย ภูมิคุ้มกันจึงเป็นทั้งทหาร ตำรวจ และหน่วยกำจัดขยะของร่างกาย

ภูมิคุ้มกัน มีกี่ประเภท?

ระบบภูมิคุ้มกัน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระบบใหญ่ๆ (แต่ทั้งสองระบบนี้ทำงานร่วมกัน) คือ

1.ระบบภูมิคุ้มกันดั้งเดิม (innate immune response) ระบบภูมิคุ้มกันนี้เป็นระบบภูมิคุ้มกันหลัก ที่เรามีมาตั้งแต่เกิด แม้จะไม่ได้รับวัคซีน

2.ระบบภูมิคุ้มกันเสริม (adaptive immune response) ระบบภูมิคุ้มกันนี้ เกิดขึ้นภายหลังเมื่อเราต้องเผชิญกับ “เชื้อโรค” (หรือวัคซีน) ระบบนี้เป็น ระบบ “เสริม” ให้ภูมิคุ้มกันหลักหรือระบบภูมิคุ้มกันดั้งเดิมทำงานดีขึ้น มิใช่ระบบภูมิคุ้มกันเพียงอย่างเดียวที่เรามี

ระบบภูมิคุ้มกันดั้งเดิม (innate immune response) คือ?

ระบบภูมิคุ้มกันดั้งเดิม คือ ระบบภูมิคุ้มกันหลักที่เรามีมาตั้งแต่กำเนิด เป็นระบบที่ร่างกายใช้กำจัด “สิ่งแปลกปลอม” ไม่ว่า สิ่งนั้นจะเป็น เชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย หรือ สิ่งแปลกปลอมอื่นๆ โดยร่างกายจะมีกลไกที่จะแยกระหว่าง สิ่งที่เป็น “ตัวเรา” (self) กับสิ่งที่มิใช่ตัวเรา (non-self) กระบวนการที่เราสามารถแยกระหว่างตัวเรา กับสิ่งอื่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เราเป็นทารกอยู่ในครรภ์ ดังนั้นหลังจากที่ทารกคลอดออกจากครรภ์มารดา ร่างกายของทารกจะสามารถแยกได้เลยว่า สิ่งไหนเป็นสิ่งแปลกปลอม ภูมิคุ้มกันประเภทนี้ก็จะเริ่มทำงานทันที ภูมิคุ้มกันแบบนี้จะใช้กลไกหลายอย่างในการป้องกันร่างกาย เริ่มตั้งแต่ ผิวหนัง สารคัดหลั่ง เยื่อเมือกต่างๆที่กันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย (รวมทั้งน้ำมูก น้ำลาย เพราะเชื้อจะถูกดักจับไว้ ซึ่งแปลว่า การมีเชื้อในน้ำมูกไม่ได้แปลว่าต้องมีเชื้อในร่างกาย) และต่อให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ระบบนี้ก็มีกลไกจัดการ โดยใช้ทั้งเม็ดเลือดขาวหลากชนิด (macrophage, NK cell, etc) เข้าไปตะลุมบอนเก็บกินเชื้อ หรือใช้สารต่างๆ ที่เรียกว่า “ไซโตไคน์” (cytokine) หรือ ระบบ complement ในการจัดการกับเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันดั้งเดิมนี้ เป็น “ระบบภูมิคุ้มกันหลัก” เพราะถ้าเราจำต้องพึ่งแต่ “ระบบเสริม” (adaptive immune response) แล้ว แปลว่า ถ้าเราเจอกับเชื้อตัวใหม่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน เราก็ต้องตายทั้งหมด ซึ่งไม่จริง เพราะแม้ว่าเราจะเจอกับเชื้อตัวใหม่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน (ซึ่งแปลว่าเราไม่มี antibody) ระบบภูมิคุ้มกันหลักนี้ก็ยังสามารถบอกได้ว่าเชื้อตัวนั้น เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ใช่ตัวเรา และสามารถจัดการกับเชื้อเหล่านั้นได้

ระบบภูมิคุ้มกันเสริม (adaptive immune response) คือ?

ระบบภูมิคุ้มกันเสริม (adaptive immune response) คือ ระบบเสริม ที่ช่วยให้ ระบบหลัก ทำงานดีขึ้น ระบบนี้จะทำงานต้องมีการ “ติดเชื้อ” (หรือได้รับวัคซีน) ก่อน โดยเชื้อจะไปกระตุ้น “ภูมิคุ้มกัน”(ที่เรียกว่า แอนตี้บอดี้, antibody) แอนตี้บอดี้ที่มีความจำเพาะต่อเชื้อนั้นๆ ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้ จะช่วยให้ร่างกาย จัดการกับเชื้อตัวเดิมได้เร็วขึ้น ถ้ามีการติดเชื้อครั้งใหม่ โดยระบบดังกล่าวจะช่วยให้เรา “จำหน้าตา” ของเชื้อตัวนั้นได้ดีขึ้น (ในระบบภูมิคุ้มกันแบบดั้งเดิม จะแยกแค่ ตัวเรากับไม่ใช่เรา แต่ไม่ได้บอกว่า อันที่ไม่ใช่เรา คือ เชื้อตัวไหน) อย่างไรก็ดี ถ้าเชื้อเปลี่ยน “หน้าตา” หรือกลายพันธุ์ก็จะทำให้ระบบนี้ ระบุหน้าเชื้อที่เปลี่ยนหน้าไปไม่ได้ (เหมือนที่เกิดในกรณีไข้หวัดใหญ่) ที่สำคัญการมี แอนตี้บอดี้ หรือ ภูมิคุ้มกันแบบนี้ ไม่ได้แปลว่า ร่างกายจะจัดการเชื้อตัวนั้นได้เสมอไป ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส เอชไอวี (ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์, ซึ่งเป็น อาร์เอ็นเอ(RNA) ไวรัสเหมือนเชื้อไวรัสโควิด) การมีภูมิต่อเชื้อเอชไอวี นอกจากจะไม่ได้แปลว่า ไม่ติดเชื้อตัวนี้แล้ว ยังแปลว่า “ติดเชื้อ” เอชไอวี และสามารถแพร่เชื้อต่อได้อีกด้วย

ที่น่าสนใจคือ นอกจากจะไม่ได้ ป้องกันการติดเชื้อแล้ว ระบบนี้ยังอาจทำให้การติดเชื้อ รุนแรงขึ้นด้วย ดังตัวอย่างของ เชื้อไวรัสไข้เลือดออก (ซึ่งก็เป็น RNA virus คล้ายไวรัสโควิด) เป็นที่ทราบกันดีว่าการที่จะเป็นโรคไข้เลือดออกนั้น จำเป็นต้องติดเชื้อมากกว่าหนึ่งครั้ง การติดเชื้อในครั้งแรกอาการจะไม่รุนแรง ผู้ป่วยแทบไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ แต่ร่างกายจะสร้าง แอนตี้บอดี้ต่อเชื้อขึ้น ต่อเมื่อมีการติดเชื้อครั้งที่สอง แอนตี้บอดี้ที่มีอยู่นี้เอง กลับจะทำให้อาการรุนแรงขึ้นจนกลายเป็น ไข้เลือดออก กระบวนการที่เกิดนี้เรียกว่า antibody dependent enhancement (ADE) ADE นี้เองเป็นเหตุที่ทำให้การทำวัคซีนป้องกันโรค เมอร์ (MERS) และซารส์ (SARS) ซึ่งเป็นเชื้อโคโรนาไวรัสเหมือนโควิด ไม่ประสบความสำเร็จจนต้องยกเลิกความพยายามไป โดยแม้จะพบว่า วัคซีนของเมอร์และซารส์ ดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในสัตว์ทดลองได้ดีมาก แต่เมื่อเอาเชื้อไวรัสให้ไปติดในสัตว์ทดลองที่ได้รับวัคซีน นอกจากวัคซีนจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้แล้ว ยังทำให้เกิดอาการปอดอักเสบที่รุนแรงขึ้นด้วย

เราสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันโดยไม่ใช้วัคซีนได้ไหม?

ภูมิคุ้มกันของเราอย่างที่เล่าตอนต้น มีทั้งระบบหลักและระบบเสริม การเพิ่มภูมิคุ้มกันไม่จำเป็นต้องเพิ่มแต่ระบบเสริม ด้วยการใช้วัคซีนเท่านั้น ที่จริงแล้วเราสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันระบบหลักได้มากมายหลายวิธี วิธีที่รู้จักกันดีและทำได้ง่ายๆคือ 5 อ อาหาร อากาศ อารมณ์ ออกกำลังกาย และอุจจาระ

1.อาหาร อาหารที่ช่วยให้เพิ่มภูมิได้คือ อาหารดีที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะสมุนไพรหลายชนิด ที่เราคุ้นเคยกันดี อาทิ เช่น ขิง หอมใหญ่ หอมแดง กระชาย กะเพรา กระเทียม พริกไทย ฯลฯ หรือถ้าจำไม่ได้ สมุนไพรพวกร้อนๆทั้งหลายละครับใช้ได้หมด นอกจากสมุนไพรที่ว่าแล้วควรทาน อาหารที่ให้วิตามินซีสูง อาทิ น้ำมะนาว ส้ม ฝรั่ง เสาวรส ฯลฯ กับผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสสระสูง เช่น ฟักทอง แครอท ขมิ้น มันม่วง ใบย่านาง ใบบัวบก ข้าวเหนียวดำ ข้าวไรซ์เบอรรี่ หรือ พืชผัก สีเหลือง ส้ม ม่วง อื่นๆ ก็มีส่วนช่วยรักษาสมดุลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีด้วย นอกจากนี้แร่ธาตุบางชนิดยังมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างภูมิต้านทานโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดีเกลือ หรือธาตุแมกนีเซียม ที่เราใช้ทำให้เต้าหู้จับตัวเป็นก้อน แมกนีเซียม (Mg2+)ช่วยเร่งปฏิกิริยาสำคัญต่างๆในร่างกายถึง 325 ปฏิกริยา ในจำนวนนี้หนึ่งในสามเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เพราะเหตุนี้ดีเกลือจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในตำรับยาไทยหลายตำรับ เพราะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและช่วยในเรื่องการขับถ่ายด้วยครับ

2.อากาศ อันนี้ไม่ต้องอธิบายมาก อากาศดีทำให้สุขภาพดี ทั้งนี้ที่สำคัญคือ ออกซิเจน อากาศบริสุทธิ์มีออกซิเจนเยอะ เวลาหายใจเข้าไปแล้วจะสดชื่น ออกซิเจนจะช่วยให้การเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำได้ดี ร่างกายมีพลังงานดี ภูมิคุ้มกันก็จะทำงานดีขึ้น เพราะฉะนั้นออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ่อยๆดี และไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากตอนอยู่กลางแจ้ง เพราะหน้ากากนั้น(ถ้าใส่แบบถูกวิธีลดปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายได้รับ) นอกจากนี้ถ้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์กลางแดด นอกจากจะได้วิตามินดีซึ่งสำคัญมากต่อการทำงานของภูมิคุ้มกันแล้ว แสงแดดยังมีรังสีอุลตร้าไวโอเลตที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ด้วยครับ

3.ออกกำลังกาย ข้อนี้ก็ไม่ต้องอธิบายมากครับ ออกกำลังกายช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ยิ่งออกกำลังกายในพื้นที่โล่ง ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ได้รับแสงแดดยิ่งดีไปใหญ่ครับ นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยทำให้ร่างกายหลั่ง “สารสุข” (endorphin) สารสุขจะช่วยทำให้ใจเบิกบาน ซึ่งเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ดีมากครับ

4.อุจจาระ ข้อนี้หลายคนอาจจะสงสัย ว่าอุจจาระเกี่ยวอะไรกับภูมิคุ้มกัน? เกี่ยวและมากซะด้วยครับ อุจจาระคือที่อยู่ของเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อเหล่านี้จะช่วยย่อยสลายอาหารที่เราทานเข้าไป โดยอาหารหลายชนิด อาทิเช่น กากใยของพืชเป็นสารอาหารที่เราไม่มีน้ำย่อยสำหรับย่อย จำต้องใช้เอนไซม์ (หรือน้ำย่อยของแบคทีเรีย) ที่จุลินทรีย์เหล่านี้สร้างขึ้นมาช่วยย่อย จุลินทรีย์ที่ย่อยสลายสารอาหารเหล่านี้ มีทั้งจุลินทรีย์กลุ่มที่ดี (หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า โพรไบโอติกส์, Probiotics) ที่ย่อยสลายอาหารแล้วได้น้ำ คาร์บอนไดออกไซด์เป็นของเสีย กับจุลินทรีย์กลุ่มไม่ดีที่ย่อยสลายอาหารแล้วก่อให้เกิดสารพิษ อาทิเช่น แก๊สไข่เน่า (ตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดกลิ่นเน่าเหม็นในน้ำเน่า) สารพิษเหล่านี้ก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำอันตรายให้กับภูมิคุ้มกัน ยิ่งเป็นคนที่ท้องผูกถ่ายยาก สารพิษเหล่านี้ก็จะมีเวลาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น ดังนั้นการขับถ่ายอุจจาระเป็นประจำทุกวันจึงเป็นการช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น

5.อารมณ์ เรื่อง อารมณ์ หรือ สภาพจิตใจนี้ ว่าไปแล้วถือเป็น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำให้ ภูมิคุ้มกันดี ในภาวะที่เครียด มีความกลัว ความวิตกกังวลสูง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมาในปริมาณมาก ฮอร์โมนชนิดนี้คือ คอร์ติซอล ฮอร์โมนนี้จะออกฤทธิ์คล้ายสเตียรอยด์ที่จะไปกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แย่ลง นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ร่างกายสร้าง วิตามิน ดี ได้น้อยลงด้วย วิตามินดี สำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันมาก เมื่อระดับวิตามินดี ลดลง ภูมิคุ้มกันก็จะทำงานแย่ลงด้วย ในทางตรงกันข้าม เมื่ออยู่ในภาวะที่จิตใจ “สงบสุข” ร่างกายจะหลั่งสารชนิดหนึ่งชื่อว่า อนันดาไมด์ (anandamide) สารชนิดนี้ คือ สารอนุพันธุ์ของกัญชา (cannabinoid) ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ (endocannabinoid) สารชนิดนี้จะไปกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น การตัดความกลัว วิตกกังวล และการรักษา ใจ ให้สงบสุข จึงเป็นวิธีที่ดีในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายครับ

ถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ หวังว่าท่านผู้อ่านจะพอเข้าใจว่า ภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันไวรัสได้นั้นมีหลายแบบ และไม่ได้จำเป็นที่จะต้องใช้ “วัคซีน” ในการเพิ่มภูมิคุ้มกันเสมอไป มีวิธีการอื่นที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ที่สำคัญลงมือทำกันได้เลยตอนนี้ครับ เมื่อเข้าใจและลงมือทำ ความตื่นกลัว ความกังวล ความตระหนกก็จะลดลง ทำให้จิต “สงบสุข” เพิ่มภูมิต้านทานได้มากยิ่งๆขึ้นครับ

โดย thaipithaksith 15 สิงหาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 14-08-67
โดย thaipithaksith 30 พฤษภาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 30-05-67
โดย Thiravat Hemachudha 27 พฤษภาคม 2567
การแก้ไข IHR และ Pandemic Treaty (Agreement) กฏหมายที่มีผลผูกพัน ข้อตกลงที่ลิดรอนเสรีภาพ เมื่อใดปรากฎ ภาวะผันผวน ทางธรรมชาติและเชื่อมโยงไปถึงการ ผันแปร เชื้อโรคการแพร่ระบาด องค์การอนามัยโลก (WHO) จะกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ในกรอบเดียวกัน ทั่วโลก ตั้งแต่การปิดประเทศ ห้ามการเคลื่อนย้าย มาตรการการรักษา การใช้ยา การใช้วัคซีน และที่สำคัญคือ การระบุเด็ดขาดการกระทำใดๆ ที่ผิดเพี้ยน การใช้การรักษาด้วยสมุนไพรหรือยาที่หมดสิทธิบัตรแต่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาโรคได้ จะถูกระบุ ว่าเป็น “เท็จ” โดยมีหน่วยงานคอยตรวจสอบติดตามเป็นเรียลไทม์ในสื่อทุกชนิดและการสื่อสารทั่วโลก และทำการดิสเครดิต ผ่านจากองค์การมายังทุกประเทศ โดยที่จะมีการควบคุมสื่อ มี สำนักงาน นานาชาติ และในประเทศไทย ที่เห็นได้ชัดในหลายรายการที่เป็นกระบอกเสียง และ นักวิชาการที่ปฏิบัติตามทั้งนี้ โดยอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีบทความทางวิชาการในวารสารทางการแพทย์ที่ระบุว่าเป็นการศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยในเวลาที่ผ่านมา สืบค้นพบว่า มีการตัดข้อมูลที่ให้ผลลบต่อผลิตภัณฑ์นั้น ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมมากถึง 92% เป็นต้นในกรณีของวัคซีน และแม้มี รายงานทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์คัดค้าน จะถูกปิดกั้นไม่ให้ลงตีพิมพ์หรือถอดถอนออกในเวลาต่อมา แต่ความจริงเปิดเผยในปี 2024 ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ องค์การต่างๆ เหล่านี้ ตามข้อมูลที่เปิดเผยจากสื่อ ตามพระราชบัญญัติความโปร่งใสของข้อมูล ได้รับทุนสนับสนุนการทำงานจากบริษัทยาและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยและในระดับรายบุคคล และถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กระบวนการต่างๆจะเป็นไปในทางที่ไม่เป็น กลาง ที่เห็นได้ชัด คือการสืบค้นหาต้นตอของโควิด ขององค์การ กลับประกอบด้วยบุคคล ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการสร้างไวรัสใหม่ การให้ทุนข้ามชาติจากประเทศตะวันตกมายังสถาบันวิจัยไวรัส และองค์กรต่างๆรวมทั้งในประเทศไทย และสิงคโปร์ และอู๋ฮั่น จนกระทั่งมีการตัดสินในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ถึงหน่วยงานกลาง EcoHealth alliance ที่เป็นตัวผ่านเงิน จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐไปยังประเทศต่างๆ และผู้บงการกลับเป็น DoD DARPA DTRA BTRA หัวหน้า NIH NIAID ผ่านมาทาง CDC USAID ถ้าสนธิสัญญานี้เกิดขึ้น ชะตากรรมของประเทศภาคีทั้งโลก จะถูกแทรกแซงอธิปไตย เพื่อให้องค์การ มีอำนาจพลักดันเบ็ดเสร็จ ในภาวะที่ระบุเป็น pandemic emergency อาทิ บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ภาวะใดจึงจะให้สัญญาณบ่งชี้ถึงภัยคุกคาม การตรวจวินิจฉัยต้องใช้วิธีใด จึงจะได้มาตรฐาน วัคซีนชนิดใด ยาชนิดอะไร การรักษาต้องเป็นแบบใด จะรักษากี่วัน และอื่นๆ โดยที่ องค์การอนามัยโลก โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเองเบ็ดเสร็จ และไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลร้ายในภายหลังใดๆทั้งสิ้น โดยทั้งหมดนี้จะระบุในสนธิสัญญา หนังสือเดินทางวัคซีน (Vaccine Passport) เป็นตัวอย่างที่สำคัญที่เกิดขึ้นแล้ว และเป็นการบังคับให้ต้องฉีดวัคซีนซ้ำซาก ในขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนมากสำเหนียก ถึงผลกระทบที่ตนเองได้รับในวัคซีน แล้วแต่ยังต้องถูกบังคับให้ฉีดใหม่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเดินทางไปนอกประเทศได้ และในที่สุดประสบผลกระทบซึ่งกลายเป็นความพิการระยะยาว ในสนธิสัญญาจะมีการอัพเกรดให้มี ใบรับรองดิจิทัล (Global Digital Health Certificate) ในการติดตามประวัติทางการแพทย์ของ มนุษย์ และยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐ (ทั้งรัฐบาลประเทศของแต่ละบุคคลและรัฐต่างประเทศ)ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การแยกตัว กักตัว ไปจนถึงการ 'บังคับ' ฉีดวัคซีน ทุกแง่มุมของชีวิตเราจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คือโครงการ CGIP clinical genomic integration platform โดยมีการควบรวมประวัติทางการแพทย์ของคนป่วยทั้งที่เข้าโรงพยาบาลและในพื้นที่ศึกษาที่ประกอบด้วยอาการการตรวจทางเอกซเรย์ทางห้องปฏิบัติการพื้นที่ของการเกิดโรค อาชีพประวัติการศึกษา เศรษฐกิจฐานะ ตัวเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อการรักษาใดได้ผลหรือไม่ได้ผลและลงประมวลข้อมูลในระบบ PACS และส่งตรงไปยังสหรัฐ เพื่อในการวางแผนผลิตยาและเวชภัณฑ์ โดยที่แท้จริงแล้วเป็นการละเมิดความมั่นคงของ ประเทศไทย ที่สุดคือการผลักดันให้มีการสอดแนมและการเซ็นเซอร์จากทั่วโลก ภายใต้หน้ากากของการต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และ จะถูกประทับตรา เป็น เฟกนิวส์ WHO กำลังให้รัฐบาลทั่วโลกเซ็นตกลง ปิดข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ ที่ขัดแย้งกับเรื่องเล่าของทางการ การปราบปรามเสรีภาพในการพูด โดยจะมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ได้ยิน นั่นก็คือเสียงของ WHO ที่เกิดมาตลอดคือ เบื้องหลัง เครือข่ายแล็บชีวภาพลึกลับ ที่กำลัง ถูกสร้าง จัดตั้งขึ้น ทั่วโลก ในการรวบรวมเชื้อโรคจำนวนมหาศาลอย่างเงียบๆ และทำการทดลองทก่อให้เกิดหายนะสำหรับมนุษยชาติ ไปแล้ว นั่นคือ โควิด และตัวต่อไปคือไข้หวัดนก อีโบลา โควิด นิปาห์ โดยเน้นให้มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมและให้มีการติดต่อทางอากาศได้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้น บอกต่อให้คนไทยทุกคน รู้ทัน ทางเราเองและลูกหลานจะไม่มีที่พึ่ง สื่อส่วนใหญ่จะทำอะไรไม่ได้ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นทาสมัน หรือเป็น ไท? หมอดื้อ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าและอบรมไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬา และหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย (ลาออกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thiravat Hemachudha 19 พฤษภาคม 2567
ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่ มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น วารสาร Nature 2021 https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 วารสารNature 2022 https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0 และวารสารอื่นๆ https://www.sciencedirect.com/.../pii/S1043661820315152 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/ https://www.frontiersin.org/.../fphar.2021.717529/full https://journals.sagepub.com/.../10.1177/09603271221143693 https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49 https://www.frontiersin.org/.../fphar.2022.934746/full https://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837 เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรกันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ หมอดื้อ Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thaipithaksith 7 พฤษภาคม 2567
Live!! คลิปเต็ม4ชม.แฉความจริงอันตรายจากสิ่งที่ฉีดไปแล้วร้ายแรงกว่าที่คิด
โดย thaipithaksith 27 เมษายน 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 25-04-67
โดย Thaipithaksith 11 มีนาคม 2567
ขอให้ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ชี้แจงข้อคำถามต่อไปนี้กับสังคม
โดย Thaipithaksith 8 มีนาคม 2567
เรื่อง ขอข้อมูลข่าวสารของทางราชการเกี่ยวกับมติตามหนังสือที่ พส.๐๑๑/๔๗๘๕
โดย Thaipithaksith 4 มีนาคม 2567
ขอให้ชี้แจงกับสังคมว่ายาฉีด mRNA เป็นวัคซีนหรือพันธุกรรมบำบัด (gene therapy)
โดย Thaipithaksith 3 มีนาคม 2567
ขอให้ปรับปรุงการดำเนินงานของศูนย์ต้านข่าวปลอมและแก้ไขข้อมูลเท็จที่ศูนย์ฯเผยแพร่
โพสเพิ่มเติม